เที่ยวปราจีนบุรี 2 วัน 1 คืน ล่องแพ แช่น้ำตก นอนรถบ้าน


ใกล้วันหยุดสุดสัปดาห์ทีไร…ไลน์กรุ๊ปของกลุ่มเพื่อนสนิทมักจะเด้งเตือนตลอด คำถามยอดฮิตคืออาทิตย์นี้จะไปเที่ยวที่ไหนกันดี? แต่สุดท้ายก็มักจะกลายเป็นทริปล่มอยู่บ่อยครั้ง บางคนอยากไปทะเล แต่อีกคนบอกเบื่อแล้ว…ถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนไปภูเขาก็ได้เอ้า! อีกเสียงบ่นว่ากลัวเหงาเพราะไม่มีอะไรให้ทำนอกจากชมวิวป่า ไปๆ มาๆ สรุปกันไม่ลงตัวซะที เลยต้องเลื่อนตล๊อด..ตลอด

 

แต่ทริปนี้ขอบอกว่า ‘รอด’ จ้าาา…เพราะว่าหนึ่งในขาเที่ยวประจำกลุ่มของเราไปสืบมาว่า ยังมีอีกจังหวัดหนึ่งที่พวกเรายังไม่เคยไปถ่ายรูปสร้างแลนด์มาร์คกันเลย นั่นก็คือจังหวัดอันซีนแห่งภาคตะวันออกอย่างปราจีนบุรี บอกเลยว่าที่นี่มีที่เที่ยวเจ๋งๆ เพียบ!! แถมยังอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขับรถไปใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น คราวนี้ทุกคนเฮลงเสียงมติเป็นเอกฉันท์ เราจะไปบุกปราจีนฯ กัน Let’s Go!!

 

 

7 โมงเช้า เราล้อหมุนยิงยาวจากกรุงเทพฯ ขึ้นมอเตอร์เวย์แล้ววิ่งไปทางถนนสาย 304 สถานที่แรกที่พวกเราจะแวะเที่ยวระหว่างทางกันคือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอพนมสารคาม รอยต่อระหว่างจังหวัดฉะเชิงเทราและปราจีนบุรี 

 

 

ที่นี่เป็นสถานที่ที่ทุกคนเห็นตรงกันว่าถ้ามีโอกาสควรแวะเข้าไปชมสักครั้งในชีวิต เพราะนอกจากจะได้ชมอนุสรณ์แห่งผลงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 แล้ว เรายังเหมือนได้เที่ยวตามรอยพ่อ เรียนรู้การทำการเกษตรแบบยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง 

 

 

นอกจากที่นี่จะเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริแห่งแรกแล้ว ศูนย์ฯ แห่งนี้ยังเป็นเสมือนกับ “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” มีทั้งสวนพฤกษศาสตร์ สวนสมุนไพร แปลงไม้ดอก ไม้ผล ผักพื้นบ้าน และฟาร์มปศุสัตว์ ฯลฯ อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมการพัฒนาแบบเบ็ดเสร็จ แบบ One stop service สามารถทั้งเรียนรู้และท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้ในคราวเดียวกันเลยค่ะ

 

 

เนื่องจากที่นี่มีขนาดเนื้อที่กว้างถึงกว่า 1,895 ไร่ ใครที่มาเที่ยวศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ส่วนใหญ่จึงเลือกใช้วิธีนั่งรถรางเพื่อเที่ยวชมรอบศูนย์ แต่ทริปนี้พวกเรามาถึงเร็วกว่าที่คิด ยังไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ เราจึงติดต่อขอแผนที่จากเจ้าหน้าที่ด้านหน้าทางเข้าศูนย์ฯ แล้ว แล้วขับรถเที่ยวกันเองแบบสบายๆ ระหว่างทางจะมีป้ายบอกจุดที่น่าสนใจให้เห็นชัดเจนตลอดทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงเลยค่ะ

 

จุดแรกที่พวกเราตั้งใจไปคือ ต้นโพศรีมหาโพธิ์ หรือ “ต้นไม้ของพ่อ” ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงปลูกไว้ บริเวณใกล้เคียงกันคือที่ตั้งของ “อ่างเก็บน้ำห้วยเจ๊ก” ที่มีก้อนหินขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาให้เห็นเหนือผิวน้ำ เราเดินเล่นชิลๆ ถ่ายรูปชมวิวบนถนนรอบสันเขื่อน ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่ ไม่ไกลถัดจากนั้นมีฟาร์มปศุสัตว์ให้เราสามารถเข้าไปถ่ายรูปนกยูง นกกระจอกเทศ และกวางได้อีกด้วย

 

 

ช่วงสายๆ เราก็เริ่มเห็นรถรางของกรุ๊ปนักท่องเที่ยวและนักเรียนที่มาเยี่ยมชมศูนย์ฯ ซึ่งบนรถจะมีวิทยากรคอยบรรยายให้ฟังตลอดทาง ดูน่าสนุกเหมือนได้ไปทัศนศึกษาตอนเด็กๆ เลยค่ะ

 

 

เดินเที่ยวถ่ายรูปได้สักพัก สายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา เราเลยขับรถเที่ยวไปรอบๆ ศูนย์ฯ ได้บรรยากาศชุ่มฉ่ำของฤดูฝน มองไปทางไหนก็เขียวสดชื่นสบายตา โชคดีที่ฝนหยุดแป๊บนึง…เราเลยโชคดีได้ลงไปเก็บภาพ “พลับพลาพระราม” สถานที่ซึ่งเคยเป็นอาคารรับเสด็จฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 แวดล้อมไปด้วยสวนสวยร่มรื่นเป็นที่ระลึกส่งท้าย ก่อนออกเดินทางต่อ

 

 

จากศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนฯ เราขับรถต่อไปทางปราจีนบุรี ใช้เวลาประมาณแค่ 25 นาทีก็ถึงที่พักของเรา นั่นคือ “ทวาราวดี รีสอร์ท” ทางเข้าโรงแรมโดดเด่นเห็นชัดด้วยรูปปั้นช้างหินตัวใหญ่ และกำแพงศิลาแลงจำลอง ยิ่งพอเลี้ยวเข้าไปเจอกับต้นไม้อย่างต้นจามจุรีใหญ่ที่ร่มรื่นตลอดสองข้างทางแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกับกำลังหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว

 

 

คอนเซ็ปต์ของที่นี่คือ  “Hidden Charm of the East” สื่อให้เห็นถึงมนต์เสน่ห์ของยุคสมัยทวารวดี ซึ่งในอดีตปราจีนบุรีก็เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอาณาจักรโบราณที่รุ่งเรืองแห่งนี้ การตกแต่งของที่นี่จึงสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของยุคสมัยทวารวดี ไม่ว่าจะเป็นศิลาแลง รูปปั้นช้าง ตัวมกร และเหรียญฟูนัน  โดยโลโก้โรงแรมเป็นด้านก้อยของเหรียญฟูนันในยุคสมัยทวารวดี ซึ่งเหรียญตราด้านหลังเป็นรูปศรีวัตสะ เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นมหาบุรุษทางพุทธศาสนาและลัทธิฮินดูโดยเชื่อว่าคือขน หรือปานบนหน้าอกของพระนารายณ์ (วิษณุ)

 

 

เรามาถึงตอนเที่ยงพอดี ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน เพื่อนๆ ในแก๊งค์บ่นหิวเลยไปฝากท้องกันที่ห้องอาหารของรีสอร์ทอย่าง “Nippon Tei” ครั้งแรกที่รู้ว่ามีแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังมาเปิดถึงที่นี่ทำให้ทุกคนเซอร์ไพรส์ไปตามๆ กัน นอกจากจะเป็นห้องอาหารญี่ปุ่นสไตล์ต้นตำรับแท้ๆ แห่งเดียวในปราจีนบุรีแล้ว ที่นี่ยังมีห้องอาหารแบบ VIP ที่ตกแต่งได้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ๊น..ญี่ปุ่น ทั้งโต๊ะทานอาหารแบบนั่งห้อยขา พื้นห้องปูด้วยเสื่อทาทามิ มีม่านไม้ไผ่เหนือกระจกใสที่สามารถมองออกไปเห็นสระบัวและวิวทะเลสาบที่อยู่ไกลๆ ได้อีกด้วย

 

 

มาดูเมนูแนะนำของที่นี่กันบ้าง ประเดิมด้วย California Maki (ราคา 300++) ข้าวห่อสาหร่ายไข่กุ้ง เคี้ยวกรุบๆ กำลังดี ทานเปล่าๆ แบบไม่ต้องจิ้มซอสโชยุเลยก็ยังได้ วัตถุดิบเค้าสดใหม่มากๆ สมกับมาตรฐานแบรนด์ Nippon Tei จริงๆ ค่ะ

 

 

ต่อด้วยจานที่สองกันกับ “Wafu Salad” (350++) สลัดสไตล์ญี่ปุ่นชามใหญ่เสิร์ฟมาพร้อมทูน่า ไข่กุ้ง แซลมอนสดสไลด์บางๆ พอดีคำ ราดด้วยน้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่น ทั้งอร่อยและสุขภาพดี จานนี้ถูกใจสาวๆ ที่รักสุขภาพแน่นอนค่ะ

 

 

นอกจากนี้ ยังเมนูอาหารให้เลือกหลากหลาย สามารถสั่งเมนูอาหารนานาชาติทั้งไทย จีน ยุโรปจากห้องอาหารทิวาราตรีที่อยู่ใกล้ๆ กันมาทานก็ได้ มีทั้งอาหารไทยๆ รสจัดจ้านอย่างแกงเผ็ดเป็ดย่าง (200++) หรือจะเป็นอาหารยุโรปอย่างขาหมูเยอรมัน (329++) ขาหมูชิ้นใหญ่ทอดจนกรอบ เสิร์ฟพร้อมมันอบ ราดด้วยน้ำซอสเกรวี่และหัวหอม กรอบนอกนุ่มในกำลังดี และยังมีเมนูสำหรับคนที่ชอบทานปลาอย่าง “ปลาแซลมอนซอสเนย” จานนี้บอกเลยว่าให้คะแนนเต็มทั้งรสชาติและการ พรีเซนท์อาหารที่จัดแต่งจานได้สวยงามจริงๆ ค่ะ

 

 

แต่ทีเด็ดห้ามพลาด คือ “Tawa Pizza” พิซซ่าแบบโฮมเมดแท้ๆ แป้งบางสไตล์อิตาเลียน เราสั่งเป็นพิซซ่าซาลามีมาหนึ่งถาด รสชาติดีมากๆ แต่ราคาแค่ถาดละ 199 บาทเท่านั้น แถมช่วงนี้ยังมีโปรโมชั่นเหลือแค่ถาดละ 169 บาท คุ้มสุดๆ เลยค่ะ

 

 

อย่าลืมเผื่อท้องไว้ตบท้ายด้วยของหวานอย่าง “บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก” (450 บาท/ปอนด์) ความพิเศษอยู่ตรงที่เค้กและเบเกอรี่ของที่นี่เค้าเป็นสไตล์โฮมเมดที่อบสดใหม่ทุกวัน เนื้อเค้กไม่ร่วนกำลังพอดี ส่วนหน้าบลูเบอร์รี่ก็อร่อยเข้มข้นมากๆ ใครชอบกินเค้กห้ามพลาดเลยค่ะ

 

 

อิ่มท้องกันแล้ว ก็ไปเช็คอินเข้าห้องพักกัน ห้องพักของที่นี่จะเป็นอาคารรูปตัว L แยกเป็นสองฝั่งซ้ายขวาจากตัวล็อบบี้ มีทะเลสาบขนาดใหญ่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยพื้นที่สีเขียวกว่าร้อยไร่และสวนต้นไม้ร่มรื่นเป็นธรรมชาติสุดๆ

 

 

พวกเรามาเที่ยวกันกลุ่มใหญ่ ถึงจะเป็นแก๊งค์เพื่อนสนิท แต่ว่าแต่ละคนก็มีสไตล์ความชอบแตกต่างกันไป โชคดีที่ทางรีสอร์ทมีห้องพักให้เลือกหลากหลายตอบโจทย์ครบทุกคน ใครชอบห้องพักที่มีกลิ่นอายแบบ Contemporary ที่มีทั้งความทันสมัยผสมกับเสน่ห์ของวัฒนธรรมยุคทวารวดี ต้องไปเช็คอินห้อง Deluxe ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทะเลสาบ อย่างห้องนี้ ผนังหัวเตียงเพนท์เป็นลวดลายเหรียญฟูนัน เงินโบราณสมัยทวารวดี แต่เลือกใช้ลายกราฟิกบนผนังสีสดใส ได้ทั้งเสน่ห์แบบทวารวดีและความโมเดิร์นผสมผสานกันอย่างลงตัว

 

 

ห้องนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ผนังห้องน้ำกรุกระจกใสบานใหญ่ ให้เราสามารถนอนแช่น้ำพร้อมชมวิวไปด้วยได้ เหมาะจะมาสวีทกับคนรู้ใจ แต่ถ้าพักกับเพื่อนแล้วกลัวเขินก็สามารถเลื่อนม่านปิดได้ค่ะ

 

 

ส่วนใครนอนดิ้นก็เลือกห้องพักแบบเตียงเดี่ยว หัวเตียงเป็นลายเพนท์ผนังแบบเก๋ๆ เป็นรูปปลาแหวกว่ายอยู่กลางคลื่นแบบห้อง Premium ที่สามารถมองเห็นวิวสวนห้องนี้ ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งแอร์ ทีวีจอแบน พร้อมสัญญาณเคเบิล ตู้เย็น มินิบาร์ อ่างอาบน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่น ไดร์เป่าผม และตู้เซฟ พร้อมฟรี Wi-Fi ภายในห้องพัก

 

 

สำหรับใครที่ชอบห้องพักที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัว ต้องไม่พลาดไฮไลท์อย่างห้อง Lakeview Executive ห้องพักที่สามารถมองเห็นวิวทะเลสาบได้แบบพาโนรามา พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวแบบ Pool access เดินลงสระได้จากห้องนอน

 

 

ภายในประกอบด้วยหนึ่งห้องนอน และห้องนั่งเล่น พร้อมมุมแพนทรีรับประทานอาหาร ที่สามารถมองเห็นวิวสระว่ายน้ำและทะเลสาบที่อยู่หน้าห้องพักได้อย่างเต็มตา

 

 

ส่วนห้องน้ำก็กว้างมากๆ มีประตูเชื่อมกับทั้งห้องนั่งเล่นและห้องนอน พร้อมยังมีตู้เสื้อผ้าแบบวอล์กอิน และอ่างล่างหน้าคู่ให้สองอ่าง คุณสาวๆ จะใช้เวลาแต่งหน้าแต่งตัวนานแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าชายหนุ่มข้างตัวจะบ่นเพราะรอคิวนานเลยค่ะ

 

 

นอกจากห้องพักในอาคารแล้ว ทางรีสอร์ทยังมีรถบ้านให้บริการสำหรับใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ ไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติอีกด้วยค่ะ

 

 

ขอบอกว่าด้านในหรูหราสะดวกสบายไม่แพ้ห้องพักในโรงแรมเลยค่ะ มีทั้งห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น พร้อมแพนทรีไว้เตรียมอาหาร มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งเครื่องครัว เตาอบ เตาแก๊ส อ่างล้างจานให้ครบครัน

 

 

นอกจากนี้ ทางรีสอร์ทยังมีเตาสำหรับปิ้งย่างบาร์บีคิวให้บริการฟรีอีกด้วย ตกเย็นออกมานั่งเล่นถ่ายรูปชมวิวทะเลสาบ ปาร์ตี้ปิ้งย่างท่ามกลางธรรมชาติ คุยกันกับเพื่อนๆ สังสรรค์กันไป ใครอยากจะซื้อของสดมาปิ้งย่างกันเอง หรือแจ้งให้ทางรีสอร์ทจัดเตรียมบาร์บีคิวให้ก็ได้ทั้งสองแบบเลยค่ะ

 

 

สำหรับใครมาพักที่นี่แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะเบื่อเลยค่ะ เพราะทางรีสอร์ทเค้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกและกิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งสระว่ายน้ำให้เราได้ว่ายออกกำลังกาย หรือใครอยากเล่นอะไรสนุกๆ ก็มีกิจกรรมอย่าง Rolling Ball หรือลูกบอลยักษ์ให้เราเข้าไปกลิ้งหมุนลูกบอลให้วิ่งไปบนผิวน้ำ สนุกได้ทั้งเด็กๆ และผู้ใหญ่เลยค่ะ

 

 

หรืออยากประลองความแม่นของสายตาก็มีกิจกรรมอย่างยิงธนู ค่าเล่นคนละ 120 บาท เล่นได้ 15 นาที ซึ่งไม่ได้มีแค่ยิงเข้าเป้าอย่างเดียวเท่านั้น หากมากันยกแก๊งค์จะลองแบ่งทีมเล่นยิงใส่คู่ต่อสู้ก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะอันตราย เพราะลูกธนูที่รีสอร์ทเค้าใช้เป็นหัวโฟม ถ้าเล่นกันยกแก๊งค์ 5 คน ราคาจะตกแค่คนละ 100 บาทเท่านั้นค่ะ

 

 

ส่วนใครเป็นหนุ่มสาวเฮลท์ตี้ที่รักสุขภาพ ต้องถูกใจกับฟิตเนสของทวาราวดี รีสอร์ท เพราะที่นี่จัดเป็นฟิตเนสที่ใหญ่และครบครันที่สุดในปราจีนบุรี มีเครื่องออกกำลังกายที่ทันสมัย ทั้งลู่วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือบ๊อกซิ่งให้เราได้เตะต่อยออกกำลังเรียกเหงื่อ โดยจะมีเทรนเนอร์คอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

 

 

หลังจากสำรวจรอบๆ รีสอร์ทเสร็จแล้ว เราก็เปลี่ยนชุดเตรียมออกไปล่องแก่งกัน ซึ่งทางรีสอร์ทมี บริการพาแขกที่มาพักไปท่องเที่ยวผจญภัยเชิงนิเวศ กับกิจกรรมล่องแก่งที่เราจะไปตะลุยสายน้ำกันแบบชุ่มฉ่ำที่แก่งหินเพิง ภายในแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในฝั่งจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งทางรีสอร์ทจะมีรถตู้พาเราไปส่งถึงที่ แค่บุ๊คล่วงหน้าโดยจะเลือกเป็นแบบแพ็คเกจที่พัก อาหาร พร้อมล่องแก่ง หรือจะจองแยกเฉพาะกิจกรรมล่องแก่งอย่างเดียวก็ได้ ราคาค่าล่องแพคนละ 800 บาท โดยเป็นการจอยกับลูกค้าคนอื่นๆ เหมาะสำหรับใครที่มาเที่ยวพักผ่อนกันแบบสมาชิกจำนวนไม่เยอะมาก

 

 

หลังจากเปลี่ยนชุดแล้ว ไกด์จะแจกอุปกรณ์อย่างเสื้อชูชีพ ไม้พาย และหมวกให้กับทุกคนสวมเพื่อความปลอดภัย เราต่อรถกระบะแล้วลงเดินป่าระยะสั้นๆ ประมาณ 2.5 กิโลเมตร เพื่อไปยังแก่งหินเพิง ระหว่างทางเราจะได้ชมวิว ฟังเสียงน้ำไหล แวะถ่ายรูปชิลๆ กันไปตลอดทาง ใช้เวลาเดินประมาณ 40 นาที-1 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับความฟิต) ก็ถึงแก่งหินเพิงกันแล้วค่ะ

 

 

บอกเลยว่าทริปนี้สนุกและมันส์มากกกก…เพราะช่วงที่เราไปน้ำขึ้นถึงเกือบระดับ 4 พอดี ทำให้มีความเชี่ยวและล่องแก่งสนุกกว่าช่วงที่น้ำในแม่น้ำน้อย แต่ละแก่งจะหวาดเสียวมาก-น้อยแตกต่างกันไป แต่ที่แน่ๆ เพื่อนสาวคนหนึ่งในแก๊งค์ของเราเธอกรี๊ดเกือบตลอดทาง บอกเลยว่ามันส์ไม่แพ้เครื่องเล่นแอดเวนเจอร์เลยทีเดียว

 

 

หลังจากเสร็จกิจกรรมล่องแก่งที่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งแล้ว เราก็นั่งรถกลับโรงแรมมาทานมื้อค่ำ บรรยากาศตอนกลางคืนที่นี่สวยงามไม่แพ้ตอนกลางวันเลยค่ะ ทางรีสอร์ทจะมีไฟประดับไว้ทั่วบริเวณ ใครอยากมาเดินเล่นรับลมชมวิวตอนเย็นๆ ก็ชิลไปอีกแบบ

 

 

ส่วนใครอยากจะปาร์ตี้ต่อ ทางรีสอร์ทก็มีห้องคาราโอเกะพร้อมให้บริการ ตั้งแต่ 18.00- 01.00 น. มีทั้งห้องรวมและห้อง VIP แต่ละห้องตกแต่งในธีมดนตรีต่างๆ อาทิ ป๊อป ร็อค แจ๊สหรือคันทรี่ ซึ่งที่นี่เค้าจะอัพเดทเพลงใหม่ๆ มาให้เราได้จับไมค์โชว์พลังเสียงกันตลอด

 


 
เช้าวันนี้เราตื่นแต่เช้ามารับอากาศบริสุทธิ์สดชื่นให้เต็มปอดแล้ว ก็ไปทานมื้อเช้ากันที่ห้องอาหารทิวาราตรี ซึ่งที่นี่ให้บริการอาหารนานาชาติตลอดทั้งวัน ส่วนมื้อเช้าจะเป็นบุฟเฟต์ที่มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งข้าวต้ม อาหารไทย หรืออาหารเช้าสไตล์อเมริกัน

 

 

เติมพลังแล้วเราเช็คเอาท์เก็บของ พร้อมออกเดินทางไปเที่ยวกันต่อ เริ่มกันที่ “โบราณสถานเมืองศรีมโหสถ” เมืองโบราณสมัยทวารวดีขนาดใหญ่ ที่ยังหลงเหลือร่องรอยความรุ่งเรืองให้เราได้ไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรแห่งนี้ ภายในเมืองมีโบราณสถาน เนินดิน สระน้ำ บ่อน้ำ กว่า 100 แห่ง และยังมีทางปั่นจักรยานร่มรื่นสำหรับใครที่ชอบสำรวจไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน

 

 

จากนั้นแวะไปทำบุญไหว้พระขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลที่ "ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ" ต้นโพธิ์ต้นแรกของเมืองไทย เป็นต้นโพธิ์ในตำนานที่มีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี และเป็นกิ่งโพธิ์จากต้นโพธิ์ต้นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงประทับบำเพ็ญธรรมจนสำเร็จตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจุบันต้นโพธิ์ต้นนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งในวันสำคัญทางพุทธศาสนาจะมีงานนมัสการ ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นประจำทุกปี หากได้มาเห็นของจริงจะพบว่าต้นโพธิ์ในตำนานมีความใหญ่มหึมาด้วยขนาดเส้นรอบวงของลำต้น 20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 25 เมตร และสูงตระหง่านถึง 30 เมตรเลยทีเดียวค่ะ

 


 

 

ส่งท้ายกับการเที่ยวแนวประวัติศาสตร์ที่ “โบราณสถานสระมรกต”  ตั้งอยู่ภายในวัดสระมรกต สักการะรอยพระพุทธบาทคู่ รอยพระพุทธบาทที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย สลักลงไปในพื้นศิลาแลงธรรมชาติงดงามเหมือนจริง

 

 

มาเที่ยวปราจีนบุรีทั้งที ไม่แวะไปที่นี่คงไม่ได้ “ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร” ชมตึกเก่าอายุกว่า 100 ปี สถาปัตยกรรมแบบยุโรปสมัยเรอเนสซองที่ก่อสร้างมาตั้งแต่ยุคสมัยรัชกาลที่ 5  ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ด้านสมุนไพร ตั้งอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อ.เมืองปราจีนบุรี

 

 

ภายในจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร บิดาแห่งการแพทย์แผนไทย ตลอดจนองค์ความรู้ในการใช้สมุนไพรบำบัดรักษาโรคต่างๆ เพื่อนๆ เราหลายคนตื่นเต้นมาก เพราะเคยแต่ได้ยินชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์สมุนไพรของที่นี่ พอได้มาเยือนถึงถิ่นกำเนิดจริงๆ บอกเลยว่าทึ่งกับภูมิปัญญาของคนสมัยก่อน

 

 

เดินเที่ยวชมเสร็จเรายังสามารถเลือกซื้อยาสมุนไพรไทย ทั้งที่แบบแปรรูปแล้วและยังไม่ได้แปรรูปสำเร็จพร้อมใช้ จะมีเภสัชกรคอยให้คำแนะนำเกี่ยวการใช้สมุนไพรแต่ละชนิด เราเลือกซื้อไปฝากคุณพ่อคุณแม่ และญาติผู้ใหญ่กันเพลินเลยค่ะ

 

 

 

ใกล้ๆ กันกับตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เป็นที่ตั้งของ สวนสมุนไพรอภัยภูเบศร ไปทำความรู้จักสมุนไพรแบบถึงต้นกำเนิดว่าแต่ละต้นหน้าตาเป็นยังไง มีสรรพคุณแบบไหนกันบ้าง นอกจากมีสมุนไพรหลากหลายพันธุ์แล้ว ยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆ อีกด้วยค่ะ

 



  
 

เดินช้อปเสร็จก็เที่ยงพอดี พวกเราเลยแวะไปกินมื้อเที่ยงกันที่ “อภัยภูเบศร สปา คิวซีน” จัดเต็มกับเมนูอาหารเพื่อสุขภาพตามธาตุของแต่ละคน อิ่มอร่อยแบบสุขภาพดีด้วยเมนูที่มีส่วนผสมของสมุนไพรที่มีประโยชน์ แถมราคาถูกกว่าร้านอาหารคลีนฟู้ดในกรุงเทพฯ อีกด้วยค่ะ

 

 

บริเวณติดกันกับร้านอาหารยังมีสปา ใครอยากจะแวะนวดผ่อนคลายความเมื่อยล้าก็สามารถมาใช้บริการกันได้ที่นี่เลยค่ะ

 

 

ส่วนใครชอบของเก่าสไตล์วินเทจห้ามพลาด “พิพิธภัณฑ์อยู่สุขสุวรรณ์” พิพิธภัณฑ์ของเก่าที่จะพาเราย้อนไปสู่ยุคปู่ย่าตายาย เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ในอดีต อาทิ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องทองเหลือง นาฬิกาโบราณ เครื่องฉายภาพยนตร์ จักรยาน โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ บางมุมยังจำลองบรรยากาศเป็นร้านกาแฟและร้านตัดผมในอดีตให้เราเข้าไปโพสต์ท่าถ่ายรูปกันเพลินๆ ค่าเข้าชมคนละ 80 บาท เปิดให้เข้าชมทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ตั้งแต่ 09.00-17.00 น.

 

 

 

ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือที่ตะเกียงโบราณที่เจ้าของพิพิธภัณฑ์ค่อยๆสะสมไว้กว่า 10,000 ชิ้น ทั้งตะเกียงเจ้าพายุ ตะเกียงไขลาน ซึ่งแขวนประดับไว้บนเพดาน ดูละลานตาและน่าทึ่งสุดๆ

 

 

ปิดท้ายทริปด้วยการไปไหว้พระขอพระเพื่อความเป็นสิริมงคลที่ “วัดแก้วพิจิตร” วัดพุทธเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และยังนับว่าเป็นวัดในนิกายธรรมยุติแห่งแรกของปราจีนบุรี จุดเด่นของวัดแห่งนี้คือเป็นวัดพุทธที่รวมเอาผลงานสถาปัตยกรรมระหว่างซีกโลกตะวันออกและตะวันตกเข้ามาไว้ด้วยกัน เช่นลวดลายปูนปั้นแบบยุโรปและเสาโรมัน แต่หลังคาโบสถ์มีช่อฟ้าใบระกาตามศิลปะแบบไทย ภายในประดิษฐานหลวงพ่ออภัยวงศ์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองปราจีนบุรี

 

 

เป็นอันจบทริปเที่ยวปราจีนบุรีแบบสนุกครบรส ทั้งธรรมชาติ ภูเขา น้ำตก และประวัติศาสตร์แห่งดินแดนทวารวดี ใครอยากมาเที่ยวพักผ่อนชิลๆ สุดสัปดาห์แบบนี้ ลองหาโอกาสมาพักผ่อน เช็คอินที่พักสวยๆ พร้อมกิจกรรมมากมายได้ที่ “ทวาราวดี รีสอร์ท ปราจีนบุรี” กันได้เลยค่ะ

 

ทวาราวดี รีสอร์ท ปราจีนบุรี

ที่ตั้ง ริมทางหลวงหมายเลข 3079 ต.ท่าตูม อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี

ราคาห้องพักเริ่มต้น 2,000-6,500 บาท

โทร 037-210444, 085-8351234, 085-8352916

 

ภาพและข้อมูลโดย
ชิลไปไหน
https://www.chillpainai.com/scoop/9063/

Hits: 26726